Why Nostr? What is Njump?
2024-02-26 07:28:23

satangma on Nostr: ร่างกายคือ supercomputer ...

ร่างกายคือ supercomputer ถ้าร่างกายอยากกินน้ำตาล ทำไมเราไม่กินน้ำตาลล่ะ (3)

ใน part นี้ผมขอกลับมาตอบสมมุติฐานของตัวเองที่ตั้งเอาไว้ว่า ทำไมร่างกายผมถึงใช้โปรตีนเป็นพลังงานก่อนไขมัน รวมถึงคำกล่าวอ้างของคุณ Ray Peat ที่ว่าตัวการทั้งหมดของโรค NCDs ไม่ใช่ทั้งไขมันและน้ำตาลโดยทั่วไป แต่เฉพาะเจาะจงไปเพียงแค่ unsaturated fats และ endotoxins ในลำไส้รวมถึง fiat science ที่ถูกทำให้เชื่อในเรื่องเชื้อแบคทีเรียในลำไส้

ก่อนอื่นผมขอพาไปทำความรู้จัก oxidization mechanism ของ unsaturated fat ผ่าน enzyme ที่มีชื่อว่า lipoxygenases โดยเอมไซม์ตัวนี้ทำหน้าที่ในการสลาย double bound ของ unsaturated fat โดยการเติม oxygen เข้าไปให้เข้าไปเป็น peroxide group (-O-O-) และ peroxide group นี้จะถูกเปลี่ยนเป็น hydroxyl group (-OH) เป็น hydroxy fatty acid ที่เป็นสารมีขั้ว เพื่อให้ง่ายต่อการไหลเวียนในกระแสเลือด ซึ่ง hydroxy fatty acid นี้ภายหลังจะถูก oxidize ผ่าน beta-oxidation ไปเป็น Acetyl CoA แล้วนำไปสร้างพลังงานเป็นลำดับถัดไป

ซึ่งจะเห็นได้ว่าการ oxidize ไขมันไม่อิ่มตัวเหล่านี้เป็นกระบวนการหนึ่งของการสร้างพลังงานระดับเซลล์ แต่ขณะเดียวกันก็สร้าง reactive oxygen species (ROS) ขึ้น ซึ่ง ROS นี้เหล่านี้เองเป็นสาเหตุที่แท้จริงของการอักเสบจากอาหารสมัยใหม่ เพราะเมื่อมี ROS ในปริมาณที่มาก ROS เหล่านี้เป็นตัวการทำให้เกิด oxidative stress ที่จะไปทำลายส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย (อาหารเสริมสมัยใหม่จึงขาย antioxidants ที่เป็นเพียงยากดอาการของการมี ROS ที่มากเกินในร่างกาย มากกว่าแก้สาเหตุที่แท้จริงนั่งก็คือลดการบริโภค unsaturated fat)

อีกประการหนึ่งของเรื่องเชื้อแบคทีเรียในลำไส้ ที่ถูกทำให้เชื่อว่า เชื้อดี/เชื้อเลว หรือ balance ของเชื้อนั้น ตามความเห็นของคุณ Ray Peat คำกล่าวอ้างเหล่านี้ไม่จริง เพราะโรคต่าง ๆ เกิดจากการมีเชื้อแบคทีเรียที่มากเกินไป โดยหากเชื้อเจริญเติบโตมากเกินไป และเชื้อแบคทีเรียแกรมลบ (gram negative bacteria) ถูกทำลายมากเกินไป จะปล่อยสารพิษกลุ่ม lipopolysaccharide ซึ่งเป็น endotoxin ที่เป็นตัวการในการเกิดการอักเสบของเซลล์เยื่อบุลำไส้ และทำให้เซลล์เยื่อบุลำไส้ถูกทำลายในที่สุด (โดยสมมุติฐานนี้โต้แย้งกลับแนวความคิดที่ว่า เมื่อไม่มีอาหารเลี้ยงเชื้อ ตัวเชื้อแบคทีเรียเองจะกินเซลล์เยื่อบุลำไส้ และแนวความคิดการเลี้ยงเชื้อด้วย resistant starch)

อีกประการหนึ่งคือ เราถูกทำให้เชื่อว่า serotonin คือสารแห่งความสุขชนิดหนึ่งที่ถูกผลิตจากลำไส้เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งตามความเห็นคุณ Ray Peat บอกว่า เรากำลังอยู่ใน fiat science หากค้นหาชื่อเดิมของ serotonin ซึ่งก็คือ enteramine จะเจอว่าสารตัวนี้เป็นสารที่ก่อให้เกิดโรคทางจิตเวช เพราะเมื่อระดับของ serotonin สูงขึ้นในสมอง เพราะระดับ serotonin ที่สูงจะยับยั้งการผลิต ATP ในสมอง และทำให้สมองทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพในที่สุด สังเกตจากผู้ป่วยจิตเวชมีระดับ serotonin ในสมองสูง และหากหมอจิตเวชจ่ายยา Selective Serotonin Reuptake Inhibitors (SSRIs) หรือ Serotonin Antagonist and Reuptake Inhibitors (SARIs) โรคทางจิตเวชจะดีขึ้นจากการลดระดับของ serotonin ลง (คุณ Ray Peat มีความเห็นว่าหากกินยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียในลำไส้ เช่น Rifaximin น่าจะเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุมากกว่าการจ่ายยากดอาการ)

และหากพิจารณาจากตำรับยาแผนโบราณเอง จะเจอว่าอาหารที่มีรสจัดจะทำให้ร่างกายเป็นปกติ หากพิจารณาตำรับยาลูกกลอนแพทย์แผนไทย จะเจอสูตรยาลูกกลอน ขมิ้นชัน + บอระเพ็ด รักษาโรคทางเดินอาหาร ซึ่งทั้ง 2 สิ่งต่างมีฤทธิ์เผ็ดร้อนทั้งคู่ หรือหากดูตำรับยาอายุรเวททางอินเดีย จะเจอว่า lassi ซึ่งก็คือ โยเกิร์ต ใส่เกลือ + เม็ดยี่หร่าป่น ผสมน้ำเจือจางกินหลังอาหารจะรักษาโรคทางเดินอาหารเช่นกัน รวมถึงการที่คนอินเดีย รวมถึงคนอีสาน มีร่างกายที่แข็งแรงกว่าคนเมือง เพราะเครื่องเทศอินเดีย รวมถึงอาหารอีสานรสจัด มีความเผ็ดร้อน ซึ่งตามความเห็นผมแล้วน่าจะมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อ gram negative bacteria ในลำไส้ที่เป็นหนึ่งในตัวการของความผิดปกติในร่างกาย เช่นเดียวกันกับการกินอาหารหมักดองรสเปรี้ยว รวมถึงการ fasting หรือ carnivore diet ที่ลดอาหารเลี้ยงเชื้อต่าง ๆ เหล่านี้ลง

จากหลักฐานต่าง ๆ ด้านบน ผมคิดว่าในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ร่างกายผมมีการทำงานในรูปแบบดังต่อไปนี้
- หลังจากปรับมากิน ketogenic diet ร่างกายมี stress ที่เพิ่มขึ้น เพิ่มระดับของ cortisol และลดระดับของ T3 ในร่างกายลง
- เมื่อลดการกิน carbohydrate ลง ร่างกายเปลี่ยนไปใช้ fat เป็นพลังงาน แต่ร่างกายเลือกใช้ saturated fat ที่ไม่สร้าง ROS (ทำให้เกิด oxidative stress) เนื่องจากร่างกายกำลังเข้าสู่ surviving mode (high stress) รวมถึงมีการซ่อมแซมร่างกายอย่างรวดเร็วเพื่อให้เตรียมพร้อมต่อสถานการณ์ที่คาดเดาไม่ได้ในอนาคต
- รวมถึงการกิน high protein (mostly from animal) low carb low fat ทำให้ค่าตับ และค่าไตขึ้น รวมถึงคำแนะนำของการกิน carnivore diet ในการเพิ่มการกินเกลือและน้ำมากกว่าระดับปกติอย่างมีนัยยะสำคัญ เนื่องจากว่า stress deplete water-soluble vitamins and minerals เพราะต้องเอาไปช่วยในการกำจัดของเสียของตับและไต เช่นเดียวกันกับการเพิ่มปริมาณน้ำที่กิน
- หลังจากร่างกายเผาผลาญ saturated fat หมดแล้ว ร่างกายเลือกที่จะเผาผลาญกล้ามเนื้อมากกว่า unsaturated fat ในเซลล์ไขมัน เนื่องจากว่าการเผา unsaturated fat เป็นการเพิ่ม stress ในร่างกายเข้าไปอีก ซึ่งร่างกายไม่เลือกที่จะทำแบบนั้นเพราะไม่รู้ว่าฤดูร้อนครั้งต่อไปจะมาเมื่อไหร่ รวมถึงอาจจะเกิดการปล่อย toxins ที่เก็บอยู่ในเซลล์ไขมันด้วย ซึ่งร่างกายไม่ต้องการที่จะสูญเสียพลังงานไปกับการกำจัดของเสียเหล่านั้น
- และการที่ระดับ T3 ต่ำเป็นระยะเวลานาน ทำให้ระดับของ cortisol ต่ำลง จากการที่ pituitary ผลิต ACTH ได้ต่ำลงเช่นกัน (fiat science เรียกอาการนี้ว่า adrenal fatigue) ทำให้ร่างกายไม่สามารถทนความเครียดได้ดีเท่าช่วงต้นฤดูหนาว และช่วงฤดูหนาวที่ยาวนานนี้เองเป็นสาเหตุให้เกิด การบาดเจ็บทั้งทางจิตใจ และทางร่างกาย (ตัวหลักเจ็บครึ่งทีม แต่ยังได้แชมป์คาราบาวคัพอะครับ //ไม่เกี่ยว 555)

จากการศึกษา mechanism ต่าง ๆ เหล่านี้เองทำให้ผมตอบคำถามได้ว่า ทำไมร่างกายผมในปัจจุบันมี muscle mass & % body fat ที่นิ่งค้าง รวมถึงทนความเครียดได้ต่ำ

ตอนต่อไปเราจะมาดูกันว่า อาการแพ้นม แพ้กาแฟ มีอยู่จริงหรือไม่ ถ้าไม่จริง กำลังเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายอยู่ และทำไมคนปัจจุบันทั่วโลกถึงตาตี่ลง เป็นเพราะมีเชื้อจีนสาเหตุเดียวจริงหรอ

#siamstr
Author Public Key
npub1lptg8jr5v8al3gjh8hvy92u3nnxc498jlu587tcs63paqa5dnkjshn362z