Why Nostr? What is Njump?
2023-08-25 00:37:26

Udomsak.ch on Nostr: ⭐ จับตา 9 เทรนด์ “Edge Computing” พลิกโฉม ...

⭐ จับตา 9 เทรนด์ “Edge Computing”
พลิกโฉม IoT และ โลกธุรกิจปี 2023 ⭐
.
ทุกวันนี้ Internet of Things- IoT ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตและการดำเนินธุรกิจแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ และหนึ่งในเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ IoT คือ Edge Computing ที่ปัจจุบันได้ถูกพัฒนาอย่างรวดเร็วเพื่อให้สอดรับเทรนด์ความต้องการใช้งานที่หลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดและกำลังมาแรงคงหนีไม่พ้น Autonomous Car หรือ รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ ที่ต้องอาศัยการประมวลผลที่รวดเร็วและแม่นยำของ Edge Computing
.
⭐ Edge Computing คืออะไร?...สำคัญอย่างไรไปดูกัน!
.
Edge Computing คือ ระบบเครือข่ายการประมวลผล วิเคราะห์และจัดเก็บข้อมูลที่ไปตั้งอยู่ใกล้กับแหล่งสร้างข้อมูลมากที่สุด เพื่อลด Latency และ Bandwidth ที่ใช้ในการรับส่งข้อมูลทำให้การประมวลผลและแสดงผลข้อมูลทำได้ใกล้เคียงกับเวลาเรียลไทม์ อีกทั้งยังปลอดภัยมากขึ้นอีกด้วย
.
การมาของเทคโนโลยี 5G ทำให้บทบาทของ Edge Computing สำคัญมากขึ้น และยังช่วยสนับสนุนการใช้ IoT อย่างแพร่หลายในช่วงที่ผ่านมา โดยมี Edge Computing เป็นหัวใจสำคัญในการจัดเก็บข้อมูล ประมวลผลและส่งข้อมูลกลับไปที่ระบบศูนย์กลางข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย ส่งผลให้มีการพัฒนาแอปพลิเคชันที่ใช้เชื่อมต่อกับ IoT (ที่มี sim ฝังอยู่) รวมถึง Robot ที่สามารถส่งข้อมูลไปเก็บไว้ที่ Edge Computing มากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น Edge Computing ได้กลายเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจของหลายอุตสาหกรรม อาทิ เกมออนไลน์ และรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ เป็นต้น
.
ในบทความนี้จะพาไปดู 9 ทิศทางที่ Edge Computing จะพัฒนาต่อไปได้ในปีนี้กัน
.
🟦 1.Edge Computing จะอยู่รอบ ๆ ตัวคน และถูกนำไปใช้ในภาคเกษตรกรรมมากขึ้น
.
เทคโนโลยี Edge Computing ที่ถูกอัปเกรดจะถูกนำไปใช้กับอุตสาหกรรมที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล ยากต่อการเข้าถึงมากขึ้น โดยเฉพาะการทำเกษตรกรรมในพื้นที่ห่างไกล อะไรก็ตามที่ติดเซ็นเซอร์ไม่ว่าจะเป็น ดิน สัตว์ รถแทรกเตอร์ หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร จะมี Edge Computing เข้าไปช่วยด้าน Automation มากขึ้น ตั้งแต่การติดตามการใช้น้ำ วางแผนการใส่ปุ๋ย วิเคราะห์คุณภาพดิน และติดตามการเจริญเติบโตของพืชผล
.
🟦 2.คัดกรองข้อมูล สร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขัน
.
ในอดีตการประมวลผลจะอยู่ที่ศูนย์กลางเป็นหลัก แต่เมื่อ Edge Computing ฉลาดมากขึ้น จะเข้ามาช่วยกรองข้อมูลและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น ในการแข่งขันรถ F1 ทีมแข่งสามารถสร้างความได้เปรียบด้วยการติดเซ็นเซอร์หลายร้อยตัวในรถ เพื่อประมวลผลสมรรถนะแบบเรียลไทม์ ทำให้เห็นประสิทธิภาพแต่ละจุดของรถตลอดเวลาผ่านข้อมูลที่ประมวลผลมาให้ และช่วยให้ทีมสามารถปรับกลยุทธ์ได้ทันท่วงทีขณะแข่งขัน
.
🟦 3.Edge Computing ยังทำงานต่อได้แม้อยู่ในโหมดตัดการเชื่อมต่อ
.
ความสามารถนี้ถูกนำไปใช้กับพื้นที่ที่อยู่ห่างไกล เช่น ชุมชนในชนบท ที่บางครั้งอินเทอร์เน็ตยังไม่เสถียรมากพอ และบางครั้ง Edge Computing หลุดการเชื่อมต่อจากศูนย์กลางข้อมูล ซึ่ง Edge Computing ยังสามารถทำงานด้วยตัวเองต่อไปได้จนกว่าระบบจะกลับมาเชื่อมต่ออีกครั้ง และสามารถโอนถ่ายข้อมูลต่อเนื่องได้ทันทีโดยไม่ทำให้ธุรกิจหยุดชะงัก
.
🟦 4.โครงสร้างพื้นฐาน 5G จะช่วยพัฒนา Edge Computing
.
IoT Edge Computing กำลังเดินหน้าสู่ Next Generation ของระบบ Automation ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์ประกอบหลักของ Industrial Internet of Things (IIoT) หรือ IoT สำหรับอุตสาหกรรม ที่เข้ามาช่วยวิเคราะห์การทำงานและตรวจสอบความผิดปกติของเครื่องจักร รวมไปถึงการสร้างอาคารอัจฉริยะ (Smart Buildings) แบบไร้สาย โดยใช้ 5G ที่รวดเร็ว และมีความหน่วงต่ำ เข้ามาช่วยด้านการเชื่อมต่อข้อมูล
.
🟦 5.Edge Computing จะทำงานได้ใกล้เคียงกับ Fog Computing มากขึ้น
.
ปัจจุบัน Edge Computing นั้นสามารถทำงานด้านการวิเคราะห์ข้อมูล และเลือกข้อมูลที่เป็นประโยชน์นำมาใช้งาน แต่ยังต้องพึ่งพาการการเชื่อมต่อระหว่างศูนย์กลางข้อมูล ซึ่งในอนาคตมีแนวโน้มว่า Edge Computing จะสามารถทำงานได้ใกล้เคียงกับ Fog Computing มากขึ้น ซึ่ง Fog Computing นั้นเป็นแนวคิดที่คล้ายกับการประมวลผลแบบ Edge แต่ไม่ต้องพึ่งพาระบบคลาวด์ เพราะสามารถประมวลผล จัดเก็บ และสื่อสาร จบในตัวเอง เหมือนกับเป็น Micro Data Center
.
🟦 6.Containers อีกกุญแจสำคัญของการพัฒนา Edge Computing
.
หนึ่งในความท้าทายของ Edge Computing คือ การรันเวิร์กโหลดที่เน้นข้อมูลเป็นศูนย์กลาง (Data-centric) ที่ต้องมีทั้งการนำเข้าข้อมูล การจัดเก็บข้อมูล การประมวลผลข้อมูล และ workloads จาก Machine Learning ซึ่ง Containers จะเป็นตัวเข้ามาเสริมการเป็นพื้นที่จัดเก็บข้อมูลถาวร และยังเป็นตัวกลางในการโยกย้ายข้อมูลระหว่าง Edge Computing และ Cloud Computing ได้อีกด้วย
.
🟦 7.Edge Computing จะถูกนำไปใช้กับคอนเซ็ปต์ Web 3.0
.
Decentralization หรือ “การกระจายอำนาจ” โดยใช้เซิร์ฟเวอร์หลายเครื่องในเครือข่ายช่วยกันประมวลผลความถูกต้องแทนการพึ่งพาศูนย์กลางเพียงเครื่องเดียว เป็นหัวใจหลักของเทคโนโลยี Web 3.0 และ Blockchain ซึ่ง Edge จะเข้ามามีบทบาทช่วยเซิร์ฟเวอร์ที่กระจายตัวกันอยู่ให้ประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
.
🟦 8.As a service อีกหนึ่งช่วยเร่งการเติบโตของ Edge Computing
.
การให้บริการ As a service แต่เดิมนั้นลูกค้าจะต้องเชื่อมต่อข้อมูลผ่าน Multiprotocol Label Switching (MPLS) หรือ Software-defined Wide-area Network (SD-WAN) แต่กับเทคโนโลยีเกิดใหม่ในด้านซอฟต์และและเน็ตเวิร์กนั้น ผู้ให้บริการอาจส่งมอบเครือข่ายส่วนตัวให้กับลูกค้าโดยใช้ Edge Computing ซึ่งจะช่วยเพิ่มความเร็วในการใช้งาน และง่ายต่อการสเกลธุรกิจ ทั้งนี้ยังต้องแก้ปัญหาด้านความปลอดภัยให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจในการนำไปใช้ก่อน
.
🟦 9.Chips และ OS ทำให้ Edge Computing มีประสิทธิภาพมากขึ้น
.
การพัฒนาชิป ระบบปฏิบัติการ(OS) แบตเตอรี่ และอื่นๆ จะช่วยให้ Edge Computing ทำงานได้ฉลาดและรวดเร็วมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการกระจายพลังงาน การเชื่อมต่อข้อมูลกับแอปพลิเคชัน รวมไปถึงความปลอดภัยของอุปกรณ์จากการถูกโจมตี
.
สุดท้ายนี้ Edge Computing ยังเป็นเทคโนโลยีที่ธุรกิจยังต้องจับตามอง และควรมองหาคนหรือที่ปรึกษาด้านไอทีที่เข้าใจการใช้งาน Edge กับธุรกิจเป็นอย่างดี เพราะมันอาจจะเป็นกลจักรสำคัญเข้ามาเปลี่ยนแปลงการทำธุรกิจในอนาคตของคุณไปอย่างสิ้นเชิง
.
ขอบคุณข้อมูลจาก
purestorag
https://www.facebook.com/bluebikgroup
Author Public Key
npub15f6pyx3h6m8t08lh9ckqfl3u3cl0gce98ae9eklppkkn6yh890vqqgvyd9